ข้อมูลเกี่ยวกับดาวฤกษ์แต่ละดวงที่เชื่อมโยงกับดาวเคราะห์ดวงต่างๆ คงเคยผ่านสายตาท่านทั้งหลายที่เคยศึกษาผลงานของโทเลมี (ปโตเลมี) มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย ยกตัวอย่างเช่น ดาว ACUBENS ดาวฤกษ์ที่มีความสว่างมากที่สุดในกลุ่มดาวราศีกรกฎ ตรงบริเวณก้ามปู โทเลมีระบุว่า ดาวฤกษ์ต่างๆ ในส่วนที่เป็นก้ามปูของราศีกรกฎมีธรรมชาติของดาวเสาร์และดาวพุธ อย่างนี้เป็นต้น การเชื่อมโยงดาวฤกษ์แต่ละดวงเข้ามาสู่ภาคของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ที่ผสานพลังงานกัน เป็นสิ่งหนึ่งที่โทเลมีพยายามจะบรรลุให้สำเร็จ

ประเด็นที่น่าคิดก็คือ อะไรคือกลไกที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ และอะไรคือสาเหตุที่ทำให้โทเลมีพยายามที่จะเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ??

ดาว Acubens กับธรรมชาติอันคล้ายคลึงกันกับ ดาวเสาร์และดาวพุธ

แรงจูงใจส่วนหนึ่งของโทเลมีมาจากข้อมูลที่ปรากฏอยู่ใน Timaeus หนึ่งในบทสนทนาของเพลโตที่เขียนโดย Critias กับ Timaeus ราว 360 ปีก่อนคริสตกาล เพลโตได้พูดถึง “ผู้สร้าง” ที่สร้างดวงจิตของมนุษย์ในลักษณะเดียวกันกับดวงจิตจักรวาล โดยจำนวนของดวงจิตเหล่านี้คือจำนวนของดาวฤกษ์ทั้งมวล ซึ่งเมื่อพิจารณาตามนี้ ดาวเคราะห์ต่างๆ จึงถูกแยกส่วนออกมาโดยทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมเวลา จึงเกิดความคิดที่ว่า ดวงจิตแต่ละดวงเคลื่อนย้ายจากดาวฤกษ์ทั้งหลายย้ายเข้าสู่ดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ก่อนที่พลังงานเหล่านั้นจะถูกแปลงถ่ายมาสู่ดวงจิตของมนุษย์

โทเลมีในฐานะบุคคลที่น่าจะมีความคุ้นเคยกับงานของเพลโตเป็นอย่างดี คงเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า มันเป็นเรื่องที่เหมาะสมและถูกต้องแล้วสำหรับการแปลความหมายรวมทั้งผลกระทบที่เป็นตำนานมาช้านานของดาวฤกษ์ทุกๆ ดวง ให้เข้ามาอยู่ในรูปแบบของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ที่รวมพลังงานเข้าด้วยกัน ซึ่งวัตถุประสงค์ตรงนี้มิใช่เพื่อที่จะละทิ้งตำนานโบราณของดวงดาวต่างๆ ทว่าเพื่อค้นหาพลังงานที่เป็นไปได้เกี่ยวกับดาวเคราะห์ ที่เพลโตเคยเปรยไว้

อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป ดูเหมือนว่าความหมายต่างๆ ของดาวเคราะห์กลายมาเป็นจุดสนใจหลัก นักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่สูญเสียข้อมูลหรือหลงลืมตำนานเรื่องเล่าขานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นตำนานอันยิ่งใหญ่ หลักจริยธรรมต่างๆ รวมทั้งบทเรียนต่างๆ ของชีวิตที่ส่งอิทธิพลมาจากดาวฤกษ์แต่ละดวง ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้องศาในพิกัดอีคลิปติคมาระบุตำแหน่งของดาวฤกษ์ การสูญเสียข้อมูลที่เป็นความหมายดั้งเดิมจากการลดทอน ย่นย่อความหมายโดยเน้นไปที่การแสดงออกทางพลังงานต่างๆ ของดาวเคราะห์ ฯลฯ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทำให้ความหมายต่างๆ ที่เป็นต้นตำนานของดาวฤกษ์สูญหายไป จนในที่สุดดำเนินมาถึงจุดที่หมดความสำคัญในโหราศาสตร์

การที่นักโหราศาสตร์ละทิ้งกลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ ไม่ใคร่สังเกตการณ์ รวมทั้งไม่ยอมบันทึกการขึ้น การตกของดวงดาวต่างๆ ทำให้ภาพต่างๆ รวมทั้งตำนานเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฟ้าของดวงดาวอันระยิบระยับ ขาดการปะติดปะต่อกัน ท้องฟ้ากลายเป็นสถานที่เปิดกว้างสำหรับนักดาราศาสตร์ ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ใช่ผู้ที่หลงใหลในรูปร่าง จิตรกรรมบนฟากฟ้า ทว่าเดินหน้าอย่างมุ่งมั่นในการตัดเฉือนกลุ่มดาวอันสวยงามต่างๆ กลายมาเป็นกลุ่มดาวเล็กๆ ย่อยๆ เพื่อให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการศึกษาของพวกเขาเท่านั้น

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *